WoW

Sunday, November 18, 2012

เรื่องปรัมปรา


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

ยังมีกษัตริย์องค์หนึ่ง พระองค์ทรงมีมเหสี 3 องค์ ได้แก่ หนึ่งเทพีฝ่ายเหนือ และ เทพีสองพี่น้องฝ่ายใต้ อันคำว่า "ฝ่ายเหนือ" และ "ฝ่ายใต้" นี้ไม่ได้หมายถึงทิศ หากแต่หมายถึง ปรัชญาความเชื่อ ฝ่ายเหนือนั้นเชื่อมั่นในพลังจิตล้วนๆ และใช้เฉพาะธาตุสี่เท่านั้น ส่วนฝ่ายใต้นั้นใช้พิธีกรรมสร้างอาถรรพ์ กล่าวคือนอกจากตัวผู้ประกอบพิธีกรรมแล้ว ยังมีบทสวด และเครื่องประกอบพิธีกรรมอื่นๆนอกเหนือจากธาตุสี่ ซึ่งทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ต่างก็มีพลังจิตเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ความเชื่อและวิธีการฝึกฝน

อันผัวเมียอยู่ด้วยกันย่อมมีการหยอกล้อโต้เถียงปะทะคารมกันบ้างตามประสา วันหนึ่งกษัตริย์ตรัสขึ้นมาว่า


"น้องหญิง ที่พวกเธอรักพี่ ก็เพราะว่าพี่นั้นเป็นกษัตริย์ มีทรัพย์สมบัติมากมาย"

มเหสีทั้งสามต่างก็แย้งว่า


"หามิได้เพคะเจ้าพี่ ถึงแม้เจ้าพี่ไม่ได้เป็นกษัตริย์ ไม่มีสมบัติพัสถานใดๆ หม่อมฉันก็รัก"

กษัตริย์บังเกิดดำริขึ้นมาโดยพลัน จึงโพล่งออกมาว่า


"ดีละ น้องหญิง งั้นชาติหน้าพี่จะไปเกิดเป็นคนธรรมดา พี่ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีสมบัติพัสถาน จนกว่าจะได้พิสูจน์แล้วว่า พวกเธอรักพี่หรือไม่?"

มเหสีทั้งสามก็ว่า


"ชาติหน้าหม่อมฉันก็จะไปเกิด เพื่อรักเจ้าพี่"

เป็นธรรมดาประสาเพศหญิงที่มีผัวร่วมกันย่อมไม่มีการยอมกัน ยิ่งต่างความเชื่อด้วยแล้ว จึงเกิดการทุ่มเถียงเกทับบลัฟกันทำนองว่า ฝ่ายตนทำได้ อีกฝ่ายทำไม่ได้ จนนำไปสู่การท้าทายด้วยการสาบาน และให้ฝ่ายที่รักษาสัจจะได้ เป็นผู้สาปแช่งลงทัณฑ์ฝ่ายที่รักษาสัจจ์ไม่ได้


ครั้นกษัตริย์สวรรคต มเหสีองค์น้องฝ่ายใต้จึงได้สร้างอาถรรพ์ด้วยการทำเครื่องหมายไว้กลางพระอุระพระศพของพระสวามี เพื่อช่วงชิง...




สองพันเจ็ดร้อยปีต่อมา.......





Friday, November 9, 2012

#ไม่รู้จะตั้งชื่อเรื่องว่าอะไรดี


รูปข้างบนนี้ เราไม่แน่ใจว่าเรียกว่า "กำแพงกั้นขอบทาง" หรือเปล่า? แต่มันเป็นสิ่งที่เราต้องข้ามมันทุกวันไปกลับ จากทำงานกลับที่พัก เพราะมันเป็นทางลัด เราจึงขอเรียกมันว่า "กำแพง" ในที่นี้ก็แล้วกัน

ทุกวันเราจะกระโดดขึ้นไปยืนบ้างนั่งยองๆบ้างบนสันกำแพง แล้วกระโดดลงไปยังอีกฟากหนึ่ง ฟากที่เห็นพื้นถนนลาดยางระดับจะสูงกว่าด้านที่เห็นหินกรวดและพงหญ้า ดังนั้นเมื่อเรากระโดดขึ้นมาจากฟากถนน เราจะยืนหรือนั่งยองๆบนสันกำแพง ก่อนที่จะค่อยๆหย่อนทิ้งตัวลงไปบนพื้นหินกรวด เพราะระยะที่สูงกว่าจากสันกำแพงจะทำใ้ห้แรงกระแทกที่เท้าเราตกลงบนพื้นรุนแรงกว่าและทำใ้ห้รู้สึกเจ็บเท้า แต่เมื่อเรากระโดดจากด้านหินกรวดขึ้นไปบนสันกำแพงพอเท้าเราแตะสันกำแพงเราจะเทคตัวลงไปยืนบนพื้นถนนเลยทันที

คืนวันหนึ่งในช่วงครึ่งหลังของฤดูฝน คืนนั้นหลังจากฝนหยดตกสักพักเราได้เดินทางกลับที่พัก บนถนนยังมีน้ำขังอยู่หลายจุด เช่นเคย เรากระโดดจากฟากถนนเพื่อขึ้นไปนั่งยองๆบนสันกำแพง แต่เท้าข้างขวาเราสะกิดขอบสันกำแพง ทำให้เราคะมำเสียหลักตกลงไปอีกฟากหนึ่ง...

ตอนแรกเรานึกโมโหตัวเองที่ประมาทใช้แรงน้อยไปจึงกระโดดไม่พ้น แต่หลังจากนั้นเราก็เห็นความจริงว่า เราไม่ได้ประมาทโดยใช้แรงน้อยไป เพราะถ้าเราใช้แรงน้อย เราจะกระโดดไม่พ้นสันกำแพงและจะร่วงลงมาตรงกำแพงด้านถนน แต่ที่เราคะมำไปยังอีกฝั่งได้นั้นเป็นเพราะเหตุว่า ตรงพื้นถนนจุดที่เราใช้เทคตัวเป็นประจำนั้น มีน้ำขังอยู่เพราะพื้นถนนเป็นแอ่ง ทำให้เราต้องไปเทคตัวใกล้กับกำแพงมากขึ้น และเนื่องจากเราไม่ได้กระโดดขึ้นไปตรงๆ เรากระโดดขึ้นเฉียงๆ กอปรกับเราไม่ได้หยุดเดินเพื่อที่จะกระโดด หากแต่พอเราเดินมาถึงเราก็กระโดดเลย ตัวเราจึงหันหน้าเฉียงๆกับกำแพงด้วย ดังนั้นเมื่อเท้าเราสะกิดกับสันกำแพง จึงทำให้เราเสียหลักคะมำข้ามไปอีกฟากหนึ่ง ในลักษณะที่งอเข่านั่งยองๆและหน้าเฉียงกับพื้น

ช่วงเวลานั้นเราคิดว่าเราคงถลาลงไปจับกบในท่าตะแคงเฉียงหน้ากับพื้นหินกรวด แต่ ฉับพลันร่า่งกายของเราก็กลับกระดกขึ้นมาตั้งตรง จึงทำให้เท้าเราลงสู่พื้นในท่าเดียวกันกับที่เคยทำเป็นประจำ

เราจำได้ว่าจังหวะเดียวกันนั้น เรามองเห็นร่างกายของเราในท่านั่งงอเข่ายองๆที่คะมำลงไปแล้วกระดกตั้งขึ้นมานั้นทั้งตัว ซึ่งโดยปกติแล้วคนเราจะมองไม่เห็นร่างกายของตัวเองทั้งตัว เว้นแต่จะดูจากเงาในกระจก

และ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก! แต่เป็นครั้งที่ 2 ที่เราเห็นร่างกายของเราเต็มตัว เวลาประสบเหตุการณ์ทำนองนี้